ช่วงนี้ฝนตกเกือบทุกวัน อากาศแปรปรวนเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เหมาะกับการไม่สบายเสียจริง ๆ
สำหรับโรคยอดฮิตที่มาพร้อมกับหน้าฝน และอากาศเปลี่ยนแปลงแบบนี้คงหนีไม่พ้น "โรคหวัด"
นั่นแน่ !! มีใครเป็นหวัดอยู่หรือเปล่า ถ้ามีเรามาหาอะไรกินแก้หวัดกันดีกว่าครับ :-)
1. ไม่น่าเชื่อว่าอาหารยอดนิยมที่ทุกชาติใช้ต้านหวัดคือ "ซุปไก่" ซึ่งว่ากันว่าใช้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 นั่นเลย ตามรายงานวิจัยพบว่าซุปไก่มีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวชนิดที่เรียกว่า นิวโทรฟิลด์ ไปยังเนื้อเยื่อปอด ทำให้ลดกระบวนการอักเสบในปอด และลดอาการไอได้ โดยตำรับซุปไก่ที่ใช้ศึกษาประกอบด้วย ไก่ มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ มันฝรั่ง ก้านขึ้นฉ่าย ผักชี แครอท หัวผักกาด เกลือ และพริกไทย นอกจากนั้นซุปไก่ที่รวมถึง ต้มยำไก่ แกงไก่ ยังมีสมุนไพรที่ช่วยต้านหวัดรวมอยู่อีกหลายชนิด
2. ผู้ป่วยควรดื่มน้ำมาก ๆ เวลาที่เป็นหวัด แต่ไม่ควรดื่มน้ำเย็นซึ่งจะทำให้เจ็บคอและไอมากขึ้น ควรจิบน้ำอุ่นหรือน้ำสมุนไพรอุ่น ๆ ตลอดเวลา เช่น น้ำตะไคร้ น้ำมะตูม น้ำใบเตย น้ำเก๊กฮวย จะช่วยให้ชุ่มคอ บรรเทาอาการไอ และละลายเสมหะ การจิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ ร่วมกับการรักษาความสะอาดภายในช่องปาก จะช่วยให้อาการเจ็บคอทุเลาและฟื้นตัวได้เร็วขึ้นด้วย
3. กระเทียม นั้นเป็นยาดีช่วยลดอาการหวัดได้ เมื่อมีอาการหวัด ให้นำกระเทียม 1 กลีบเล็กมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วใช้ช้อนบี้ให้แตก เติมน้ำร้อนลงไป 1 ถ้วย ปิดฝาทิ้งไว้ 5 นาที จากนั้นเติมน้ำผึ้ง และมะนาวเล็กน้อย ดื่มวันละ 2 ถ้วย จะช่วยบรรเทาอาการได้ เมื่อหายแล้วให้ดื่มต่ออีกสัก 3 วัน วันละ 1 ถ้วย หรือถ้าติดใจจะดื่มเป็นประจำก็ได้ เพราะกระเทียมจะช่วยป้องกันและรักษาไข้หวัดได้อย่างดี นักวิจัยชาวจีน ดร.เบนจามิน เลา แห่งมหาวิทยาลัยโลมาลินดาในแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษายารักษาโรคตามแบบแพทย์ตะวันออกมานาน ได้ทำการศึกษาแล้วพบว่า “กระเทียม” มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบ ซึ่งออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสหวัดได้โดยตรง และยังช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวได้
4. ขิงช่วยขับเหงื่อ มีฤทธิ์ แก้หวัด เย็น (หวัดเย็น คือรู้สึกหนาว มีไข้ต่ำ ไม่ค่อยมีเหงื่อออก มีเสมหะมักเหลวใส) และยังช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด และข้ออักเสบได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจอีกด้วย ช่วงฝนพรำ สภาพอากาศเปลี่ยนและชื้น ๆ แบบนี้ เมื่อเริ่มจะรู้สึกเซื่อง ๆ เฉื่อยชา หนาว ๆ มีน้ำมูกใสไหลจี๊ด ๆ หรือเริ่มมีเสมหะ ก็อย่าได้ชะล่าใจ ขอให้รีบต้มน้ำขิงดื่มเลย
5. อาหารที่ช่วยให้จมูกโล่ง หายคัดจมูก ก็คืออาหารรสเผ็ดร้อนที่มีพริกเป็นส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็น พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า พริกแห้ง รวมไปถึงพริกไทย และสมุนไพรรสเผ็ดร้อนอื่น ๆ เราสามารถกินเผ็ดอย่างเอร็ดอร่อยและหลากหลายในอาหารหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น พริกขี้หนูในต้มยำ พริกชี้ฟ้าในผัดเผ็ด พริกไทยในแกงเลียง พริกแห้งในลาบ หรืออาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรรสเผ็ดร้อนต่าง ๆ เช่น ขิง กะเพรา โหระพา เป็นต้น
6. มีการศึกษาพบว่า โยเกิร์ตช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว และช่วยเพิ่มการสร้างสารแอนติบอดีบางชนิดได้ การศึกษากับอาสาสมัครทั้งคนหนุ่มและคนสูงอายุ พบว่าการรับประทานโยเกิร์ตทุกวันเป็นเวลา 1 ปี ช่วยลดอาการจากหวัดและภูมิแพ้ ผู้ป่วยหายเร็วขึ้น และร้อยละ 25 เป็นหวัดน้อยลง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับประทาน แนะนำให้เลือกโยเกิร์ตรสธรรมชาติชนิดไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย และมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ จะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่
7. ผลไม้ตระกูลส้มนั้นจะมีวิตามินซีสูง โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่หรืออยู่ในแวดวงคนสูบบุหรี่ บุหรี่เพิ่มความเสี่ยงการเป็นหวัดและทำให้ร่างกายต้องการวิตามินซีสูงขึ้น วิตามินซีป้องกันหวัดได้ ถ้ารู้ตัวว่าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ติดหวัด เป็นหวัดง่าย ก็ต้องกินผักและผลไม้ให้วิตามินซีมากๆ เช่น ส้ม มะละกอสุก มะม่วง ฝรั่ง สับปะรด ส้มโอ ชมพู่ พุทรา มะขาม แตงโม ฯลฯ
8. น้ำผักผลไม้ เพราะผักผลไม้ในกลุ่มที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบตาแคโรทีน (วิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี จะช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อ ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น แครอท ผักใบเขียวจัด ส้ม ฝรั่ง องุ่น แคนตาลูป มะละกอสุก เป็นต้น สามารถเลือกตามที่ชอบและนำมาปั่นทานกันได้เลย เน้นว่าควรเป็นผักและผลไม้สด เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระกันแบบเต็ม ๆ หรือถ้าไม่อยากเสียเวลาปั่น ก็ทานผลไม้สด ๆ ก็ได้
9. ชาร้อนทุกชนิดล้วนมีสารโพลิฟีนนอล สารแอนติออกซีเดนต์ในพืชที่ช่วยลดอาการติดเชื้อ ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกชุ่มชื้น หายใจสะดวก ควรชงชาในน้ำร้อนตั้งทิ้งไว้ราว 1 นาที จะดึงคุณสมบัติ แก้หวัด ชาได้ดีที่สุด
ใครเป็นหวัดอยู่ก็อย่าลืมหามาทานกันนะครับ พร้อมทั้งงอย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอ ด้วยนะครับ แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ก็ควรรีบไปหาหมอเพื่อรับการรักษาน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ
รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ :-)
แหล่งอ้างอิง
- สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
- วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
- www.momypedia.com
- https://pixabay.com
ฝากติดตามแนะนำติชมได้ที่