วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

"มะเขือเทศ" กับประโยชน์ที่มากกว่า


"ไลโคปีน" เป็นสารสำคัญที่พบได้ในผลมะเขือเทศ จัดเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งใน 600 ชนิด พบไลโคปีนได้ใน มะเขือเทศ แตงโม เกรปฟรุต สีชมพู ฝรั่งสีชมพู และมะละกอ เป็นต้น และพบไลโคปีนในปริมาณตั้งแต่ 0.9 –9.30 กรัม ใน 100 กรัมของมะเขือเทศสด
ไลโคปีนเป็นสารประกอบที่ได้รับความสนใจเนื่องจากมีรายงานว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่อวัยวะต่าง ๆ ที่ชัดเจนที่สุด คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก รองลงมา คือมะเร็งปอด กระเพาะอาหาร นอกจากนี้ก็ยังแสดงให้เห็นประโยชน์ของการได้รับไลโคปีนในการลดความเสี่ยงของมะเร็งตับอ่อน ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก คอหอย ช่องปาก เต้านม ปากเป็นต้น
ความเชื่อที่ว่าของสดดีกว่าของที่ปรุงแล้ว ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป ในกรณีของมะเขือเทศเป็นหนึ่งในข้อยกเว้น มะเขือเทศที่ผ่านความร้อนจะทำให้การยึดจับของไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศอ่อนตัวลง ทำให้ไลโคปีนถูกร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่า นอกจากนี้ความร้อนและกระบวนการต่าง ๆ ในทำผลิตภัณฑ์มะเขือเทศยังทำให้ไลโคปีนเปลี่ยน คือ เป็นชนิดที่ละลายได้ดีขึ้นด้วย
น้ำมะเขือเทศมีประโยชน์มากมายเรียกได้ว่า มีประโยชน์แทบจะทุกส่วนของร่างกายเลยทีเดียว ดังต่อไปนี้
* ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่นสดใส ไม่แห้งกร้าน
* มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
* น้ำมะเขือเทศช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
* ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง
* มีวิตามินเอซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงสายตา
* มีเบต้าแคโรทีน และฟอสฟอรัสในปริมาณมาก
* ช่วยในการรักษาสิว ด้วยการนำน้ำมะเขือเทศมาพอกผิวหน้า
* ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับโรคหอบหืดได้มากถึง 45%
* ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์
* ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน
* ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
* มีฤทธิ์ในการช่วยขับปัสสาวะ
* ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
* ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
* ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะเส้นเลือดตีบ
* ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
* ช่วยในระบบย่อยในกระเพาะอาหาร
* ช่วยในการขับถ่ายอุจจาระได้สะดวก
* ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา
* ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งลำไส้
* ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชาย
* ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ ในเพศหญิง
ประโยชน์มากมายขนาดนี้ ทำไมจึงจะไม่อยากกินมะเขือเทศกันหล่ะครับ
**********************************************************
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.womanplusmagazine.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น