วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ประโยชน์ของวุ้นเจลาติน


ใครชอบทานเจลลี่ บ้างครับ หลายคนคิดว่าเป็นขนมของเด็ก ๆ แต่รู้หรือเปล่าว่าเจลลี่ที่ทำมาจากเจลาตินมีประโยชน์ไม่ใช่เล่น ๆ เลยนะครับ ยิ่งอากาศร้อน ๆ แบบนี้ทำวุ้นเจลลาตินผสมน้ำผลไม้ หรือน้ำสมุนไพรทาน แช่เย็น ๆ ทานชื่นใจน่าดูเชียวหล่ะ แล้วไอ้เจ้าเจลาตินเนี่ยะมันคืออะไรกันนะ แล้วมีประโยชน์กับร่างกายเรายังไงไปดูกันครับ :-)
เจลาตินแท้ที่จริงแล้วก็คือโปรตีนคอลลาเจน ที่สกัดออกมาได้จากส่วนต่างๆ ของสัตว์เช่นข้อต่อกระดูก หรือหนัง โดยอัตราสารอาหารนั้นถือว่าเป็นอาหารที่มีความเข้มข้นของโปรตีนอยู่มาก 
เมื่อนำผงเจลาตินมาอุ่นด้วยน้ำที่อุณหภูมิประมาณ 32 องศาเซลเซียสมันจะหลอมกลายเป็นของเหลวหนืด ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ของเหลวจะเซ็ตตัวกลายเป็นเจล (ลักษณะคล้ายเยลลี่)
เจลาตินใช้ทำอะไรได้บ้างมีการนำเจลาตินมาใช้ในการเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์หลายชนิด เช่นใช้เป็นส่วนผสมของขนมหวาน ลูกอม โยเกิร์ต ไส้กรอก แค็ปซูลยา เป็นต้น
ประโยชน์ของเจลาติน
1.เสริมสร้างสุขภาพผม เล็บ ให้แข็งแรงเงางาม ลดปัญหาผมขาดร่วง
2.ผิวหนังมีความยืดหยุ่นแข็งแรงขึ้น
3.ช่วยบำรุงข้อต่อกระดูก
4.เป็นโปรตีน จึงช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยให้ฟื้นตัวหลังออกกำลังกายหนักได้ดีขึ้น
แต่ก่อนจะทานขนม หรืออาหารที่ผสมเจลาตินต้องดูเรื่องส่วนประกอบของ น้ำตาล และสีผสมอาหาร ด้วยนะครับไม่งั้นนอกจากจะไม่ได้ประโยชน์จากเจลาตินแล้ว ยังทำให้เกิดโทษต่อร่างกายอีกต่างหาก
การเลือกซื้อเจลาติน ต้องดูให้ดีว่ามันคือเจลาติน(GELATIN) ไม่ใช่ผงวุ้น Agar ซึ่งเป็นสารคนละชนิดกัน ซึ่งจริง ๆ ก็มีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน แต่คนละด้านกันครับ 
ปัจจุบันมีเมนูที่มีเจลาตินเป็นส่วนประกอบมากมาย ที่เห็นกันบ่อย ๆ ก็คงจะเป็น พุดดิ้ง หรือวุ้นเจลลี่  นั่นเอง ครับ ว่าแล้วทำเจลลี่ผลไม้เจลาตินแช่เย็นไว้หม่ำดับร้อนดีกว่า อิอิ

ขอบคุณข้อมูลจาก
วิกิพีเดีย
http://www.naturewolf.info
http://guru.sanook.com/
ฝากติดตามให้กำลังใจกันได้ที่ Facebook : https://goo.gl/6Tsk9s Instagram : kinkumlangdeeLine : @kinkumlangdee (พิมพ์ @ ด้วยนะครับ)



วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559

แตงโม...แตงโม...แตงโม...



ร้อน ร้อน..นับวันอากาศเริ่มร้อนระอุขึ้นทุกวันจนแทบอยากจะเป็นลม ใครที่กำลังมองหาอะไรมากินดับร้อนซะหน่อย ขอแนะนำกินผลไม้ที่จะช่วยดับพิษร้อนอย่าง "แตงโม" กันดีกว่า

ซึ่งแตงโมถือเป็นผลไม้ดับร้อนอันดับหนึ่ง เลยก็ว่าได้เพราะในแตงโมมีน้ำในปริมาณมาก มีรสหวาน เย็นฉ่ำ และยังมากด้วยสารอาหาร และประโยชน์ในด้านต่างๆให้แก่ร่างกายด้วย อาทิ แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, เหล็ก, โปแตสเซียม, และวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะ วิตามินเอ จะมีมากในเนื้อแตงโมพันธุ์ที่มีเนื้อสีแดง สำหรับเพื่อนๆที่ชื่นชอบในการดื่มน้ำผลไม้ แตงโมก็เป็นผลไม้อีกหนึ่งอย่าง ที่จะช่วงแก้กระหายน้ำ หรือว่าลดอาการอ่อนเพลีย เพิ่มความกระชุ่มกระชวยได้ด้วย


แตงโมยังมีสรรพคุณที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ เพราะจากการดื่มน้ำแตงโมจะช่วยเพิ่มเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายสามารถใช้ในการสร้างวิตามินเอ และการมีวิตามินเอมากๆ ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ แตงโมยังเป็นผลไม้ที่มี citrulline อยู่มาก สารตัวนี้จะไปช่วยในการรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น ในการรับประทานแตงโม ไม่ใช่แค่ว่าจะดื่มน้ำแตงโมอย่างเดียว เราควรกินเนื้อของแตงโมเข้าไปด้วย โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นเนื้อสีขาวที่อยู่ลึกลงไป แม้รสชาติจะไม่ค่อยหวานซักเท่าไหร่ แต่กลับมีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว


ถ้าถามว่า แตงโมเนี่ยลดความอ้วนได้แน่นอนเลยหรือไม่ ก็อาจจะไม่ได้ลดได้ถึง 100 % นะครับ แต่จากงานวิจัยต่างๆที่ตีพิมพ์ใน วารสารโภชนาการ ของต่างประเทศ “Journal of Nutrition” ได้ให้ข้อมูลว่า กรดอะมิโนในแตงโม ที่มีชื่อว่า “อาร์จินิน (Arginine)” มีอยู่มากมายในเนื้อแตงโม เป็นสารที่ช่วยในการเผาพลาญแคลอรี่ได้ โดยนักวิจัยได้ให้อาหารเสริม Arginine แก่หนูที่มีน้ำหนักเกินเป็นเวลาติดต่อกันกว่าสามเดือน และพบว่ามันช่วยลดปริมาณไขมันในร่างกาย ลูงได้ถึง 64 % ไม่เพียงแค่นั้น ยังช่วยให้เราอิ่มได้ไวขึ้นอีกด้วย

การกินแตงโมก็สามารถช่วยลดความตึงเครียดได้อีกด้วย เพราะโพแทสเซียมในแตงโม จะช่วยควบคุมความดันโลหิต ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดีเย็นชื่นใจ 
ในผลแตงโมมีสารสำคัญสีแดงที่มีชื่อว่า "ไลโคปีน" (Lycopene) ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ 
เปลือกแตงโมยังมีสาร "ซิทรูไลน์" (Citruline) ที่มีส่วนช่วยขยายเส้นเลือดซึ่งเป็นผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และสารนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อคนที่เป็นโรคอ้วนและเบาหวานอีกด้วย 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
WOMAN PLUS

ฝากติดตามให้กำลังใจกันได้ที่ 
Facebook : https://goo.gl/6Tsk9s 
Instagram : kinkumlangdee
Line : @kinkumlangdee (พิมพ์ @ ด้วยนะครับ)


วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

พริกสีสดเพิ่มความสดใส


พริกเม็ดโตสีสันสดใส มีลักษณะกลมยาว หลายครัวเรือนนิยมนำมาผัดเพราะไม่มีรสเผ็ด เนื่องจากมีสารแคปไซซินในปริมาณที่ตํ่ามากจนถูกเรียกว่าพริกหวาน (Bell Pepper) นั่นเอง

          ในพริกหวาน 100 กรัม สามารถให้คุณค่าแก่ร่างกายได้มาก โดยให้พลังงาน 22 กิโลแคลอรี ซึ่งประกอบด้วย โปรตีน 0.8 กรัม ไขมัน 0.3 กรัม คาร์โบไฮเดรต 4.0 กรัม แคลเซียม 9 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 2.5 มิลลิกรัม ไทอะมิน 0.10 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.05 มิลลิกรัม วิตามินซี 65 มิลลิกรัม

ประโยชน์ของพริกหวาน

          พริกหวานมีเบตาแคโรทีนสูง มีวิตามินซี เหล็ก และโพแทสเซียม ซึ่งพริกหวานสีเหลืองจะมีไวตามินมากกว่าพริกหวานสีส้มถึง 4 เท่า ในพริกสีเขียว 100 กรัมก็จะมีไวตามินซี 100 กรัมเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีสารแคบไซซิน ช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือด โรคต้อกระจก และโรคมะเร็ง

          ในหนึ่งเมนูของวัน ถ้ามีพริกหวานเป็นส่วนประกอบก็จะช่วยกระตุ้นทางการทำงานของกระเพาะอาหาร ทำให้ระบบการย่อยอาหารดีขั้น ช่วยเจริญอาหารบำรุงธาตุ ขับเหงื่อ ขับลม ขับเสมหะ แก้อาเจียน แก้หิด กลากเกลื้อน และสามารถลดความด้นโลหิตได้ เพราะทำให้หลอดเลือดอ่อนตัว และช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดเป็นไปได้ดีอีกด้วย...


ฝากติดตามให้กำลังใจกันได้ที่ 
Facebook : https://goo.gl/6Tsk9s 
Instagram : kinkumlangdee
Line : @kinkumlangdee (พิมพ์ @ ด้วยนะครับ)

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

แครอท vs แตงกวา



ผักที่เรามักเห็นบ่อย ๆ ในเมนูเพื่อสุขภาพขาดไม่ได้ที่จะต้องมี แครอท และแตงกวาซึ่งทั้งสองอย่างมีประโยชน์ และสรรพคุณเด่น ๆ ดังต่อไปนี้
แครอท : มีวิตามินเอและเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา แก้โรคตาฝ้าฟาง ช่วยขับปัสสาวะ นอกจากนี้ แครอทยังมีสารฟอลคารินอลซึ่งทำงานร่วมกับสารเบต้าแคโรทีน สามารถต้านอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง กินได้ทั้งสดและปรุงสุก แต่ถ้าผ่านความร้อนจะทำให้วิตามินที่อยู่ในแครอทแตกตัวเพิ่มขึ้น ร่างกายจะได้รับประโยชน์มากกว่า
แตงกวา : ช่วยเสริมความจำ ลดอาการนอนไม่หลับ แก้กระหายน้ำ มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ขับปัสสาวะ ทำให้ผิวขาวใส นุ่มนวล กินได้ทั้งสดและปรุงสุก ล้างให้สะอาดก่อนนำไปรับประทานนะครับ

เมนูหน้าอย่าลืมหาแตงกวา กับแครอทมาทานกันด้วยนะครับ ^^

ฝากติดตามให้กำลังใจกันได้ที่ 
Facebook : https://goo.gl/6Tsk9s 
Instagram : kinkumlangdee
Line : @kinkumlangdee (พิมพ์ @ ด้วยนะครับ)


วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

ฟักทอง ตัวช่วยในการลดน้ำหนัก


           "ฟักทอง" ถือเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนัก ที่ดีอย่างหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก และมีแคลอรีไม่สูง ไขมันน้อย จึงทานแล้วไม่ทำให้อ้วน แถมในฟักทองยังมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูงเช่น วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินบี5 วิตามินบี6 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุแมงกานีส ธาตุเหล็ก ซิงค์ เป็นต้นฟักทองช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล และยังบำรุงสายตายังให้ดูใสปิ๊งอีกต่างหาก

ฝากติดตามให้กำลังใจกันได้ที่ 
Facebook : https://goo.gl/6Tsk9s 
Instagram : kinkumlangdee
Line : @kinkumlangdee (พิมพ์ @ ด้วยนะครับ)

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

คุณค่า จากคะน้า


คะน้าเป็นพืชผักใบเขียวที่นิยมรับประทานทั่วไป โดยเฉพาะเมนูคะน้าหมูกรอบโปรดของผม เพราะเป็นผักที่หาซื้อง่ายราคาไม่แพง แต่ก่อนจะนำมารับประทานอาจจะต้องทำความสะอาดมากหน่อย เพราะอาจมีการปนเปื้อนของยาฆ่าแมลงและอาจจะต้องระวังในเรื่องของธาตุแคดเมียมที่อาจจะปนเปื้อนมากับน้ำและพื้นดินด้วยนะครับ
คุณค่าทางโภชนาการในคะน้าพบว่ามีวิตามินหลายชนิด เช่น บีตา-แคโรทีน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอดมะเร็งเต้านม และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งสารเบต้าแคโรทีนรวมกับวิตามินซี จะกลายเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพมาก และยังมีวิตามินซีช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้น และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคมีความแข็งแรงสมบูรณ์
นอกจากนี้ยังมีแคลเซี่ยมช่วยเสริมสร้างกระดูกอีกด้วย โดยการรับประทานคะน้า 1 ถ้วย จะได้รับแคลเซียมพอ ๆ กับการดื่มนม 1 แก้ว  ทั้งยังให้โฟเลตและธาตุเหล็กสูง ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง และยังเหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ เพราะโฟเลตกับสารอินโดลส์ (indoles) ที่มีอยู่ในคะน้ายังป้องกันการพิการแต่กำเนิดของทารก แต่ไม่ควรบริโภคมากเกินไปเนื่องจาก มีสารกอยโตรเจน (Goitrogen) ทำให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ 
ใบและก้านใบของคะน้า ช่วยบำรุงผิวพรรณ บำรุงและรักษาสายตา ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน  เสริมสร้างเนื้อเยื่อ ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน ต้านทานการติดเชื้อ สร้างเม็ดเลือดแดงช่วยบำรุงโลหิตช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยรักษาอาการไมเกรน ช่วยชะลอปัญหาความจำเสื่อม ช่วยรักษาโรคหอบหืด ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ ช่วยคลายการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหลอดลม และช่วยป้องกันโรคท้องผูก ประโยชน์เยอะมากเลยใช่มั้ยละครับ คะน้าของเรา นี่แหละของมีประโยชน์ต่อร่างกายเรามีอยู่มากมาย เพียงแค่รู้จักเลือกกินแค่นี้ก็ดีต่อสุขภาพแล้วครับ
ขอให้ทุกท่านกินอาหารให้อร่อย และมีสุขภาพดีนะครับ

ฝากติดตามให้กำลังใจกันได้ที่ 
Facebook : https://goo.gl/6Tsk9s 
Instagram : kinkumlangdee
Line : @kinkumlangdee (พิมพ์ @ ด้วยนะครับ)





วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2559

กินแตงกวา แก้กระหาย คลายร้อน


“แตงกวา” เป็นผัดที่เรามักพบเป็นส่วนประกอบในการตกแต่ง หรือกินแกล้มเมนูต่าง ๆ แต่เป็นเพราะเมนูส่วนใหญ่นำมาตกแต่งจัดจานทำให้อาหารน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น จึงทำให้เราเกิดความคุ้นชินจนคิดว่ามันกินได้นะ อย่าเขี่ยทิ้ง 555 เพราะรู้หรือไม่ว่า “แตงกวา” นี้แหละ มีประโยชน์กับร่างกายไม่น้อยเลย แถมอากาศร้อน ๆ แบบนี้ แตงกวาช่วยได้ยังไงไปดูกัน
ประโยชน์มากมายของแตงกวา
ช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดอาการขาดน้ำ เพราะในตัวของมัน มีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 90%- ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ทั้งภายนอก และภายใน- สามารถล้างสารพิษที่มีอยู่ในร่างกายได้ และยังสามารถช่วยละลายก้อนแข็งที่อยู่ในไตได้ด้วย- อุดมไปด้วยวิตามินเอ, บี และซี
ช่วยลดความดันโลหิต
ช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย เช่นระดับน้ำตาลในเลือด - ทำให้ระบบภูมิคุ้มกัน อยู่ในสภาพวะที่เหมาะสมช่วยในการขับถ่าย แก้อาการท้องผูก - ช่วยบำรุงระบบการย่อยอาหารในร่างกาย
สามารถลดไข้ได้ และยังสามารถดื่มน้ำแตงกวา เพื่อแก้อาการเจ็บคอได้- เสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท- ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร สำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะ- แก้อาการนอนไม่หลับ- มีสารต้านมะเร็ง- มีฤทธิ์ ช่วยในการขับปัสสาวะ
ประโยชน์เยอะมากกกกกกก ซึ่งเมนูอาหารที่มีแตงกวาเป็นส่วนประกอบก็มีเยอะแยะมากมายเช่น แตงกวาผัดไข่, ผัดเปรี้ยวหวาน, ต้มจืด, ตำแตงกวา ฯลฯ เอาไว้ถ้ามีเวลาจะนำมานำเสนอสักหนึ่งเมนูนะครับ โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอให้ทุกท่านกินให้อร่อย และมีสุขภาพดีนะครับฝากติดตามให้กำลังใจกันได้ที่ Facebook : https://goo.gl/6Tsk9s

Instagram kinkumlangdee

Line : @kinkumlangdee (พิมพ์ @ ด้วยนะครับ)