วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559

แตงโม...แตงโม...แตงโม...



ร้อน ร้อน..นับวันอากาศเริ่มร้อนระอุขึ้นทุกวันจนแทบอยากจะเป็นลม ใครที่กำลังมองหาอะไรมากินดับร้อนซะหน่อย ขอแนะนำกินผลไม้ที่จะช่วยดับพิษร้อนอย่าง "แตงโม" กันดีกว่า

ซึ่งแตงโมถือเป็นผลไม้ดับร้อนอันดับหนึ่ง เลยก็ว่าได้เพราะในแตงโมมีน้ำในปริมาณมาก มีรสหวาน เย็นฉ่ำ และยังมากด้วยสารอาหาร และประโยชน์ในด้านต่างๆให้แก่ร่างกายด้วย อาทิ แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, เหล็ก, โปแตสเซียม, และวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะ วิตามินเอ จะมีมากในเนื้อแตงโมพันธุ์ที่มีเนื้อสีแดง สำหรับเพื่อนๆที่ชื่นชอบในการดื่มน้ำผลไม้ แตงโมก็เป็นผลไม้อีกหนึ่งอย่าง ที่จะช่วงแก้กระหายน้ำ หรือว่าลดอาการอ่อนเพลีย เพิ่มความกระชุ่มกระชวยได้ด้วย


แตงโมยังมีสรรพคุณที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ เพราะจากการดื่มน้ำแตงโมจะช่วยเพิ่มเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายสามารถใช้ในการสร้างวิตามินเอ และการมีวิตามินเอมากๆ ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ แตงโมยังเป็นผลไม้ที่มี citrulline อยู่มาก สารตัวนี้จะไปช่วยในการรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น ในการรับประทานแตงโม ไม่ใช่แค่ว่าจะดื่มน้ำแตงโมอย่างเดียว เราควรกินเนื้อของแตงโมเข้าไปด้วย โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นเนื้อสีขาวที่อยู่ลึกลงไป แม้รสชาติจะไม่ค่อยหวานซักเท่าไหร่ แต่กลับมีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว


ถ้าถามว่า แตงโมเนี่ยลดความอ้วนได้แน่นอนเลยหรือไม่ ก็อาจจะไม่ได้ลดได้ถึง 100 % นะครับ แต่จากงานวิจัยต่างๆที่ตีพิมพ์ใน วารสารโภชนาการ ของต่างประเทศ “Journal of Nutrition” ได้ให้ข้อมูลว่า กรดอะมิโนในแตงโม ที่มีชื่อว่า “อาร์จินิน (Arginine)” มีอยู่มากมายในเนื้อแตงโม เป็นสารที่ช่วยในการเผาพลาญแคลอรี่ได้ โดยนักวิจัยได้ให้อาหารเสริม Arginine แก่หนูที่มีน้ำหนักเกินเป็นเวลาติดต่อกันกว่าสามเดือน และพบว่ามันช่วยลดปริมาณไขมันในร่างกาย ลูงได้ถึง 64 % ไม่เพียงแค่นั้น ยังช่วยให้เราอิ่มได้ไวขึ้นอีกด้วย

การกินแตงโมก็สามารถช่วยลดความตึงเครียดได้อีกด้วย เพราะโพแทสเซียมในแตงโม จะช่วยควบคุมความดันโลหิต ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดีเย็นชื่นใจ 
ในผลแตงโมมีสารสำคัญสีแดงที่มีชื่อว่า "ไลโคปีน" (Lycopene) ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ 
เปลือกแตงโมยังมีสาร "ซิทรูไลน์" (Citruline) ที่มีส่วนช่วยขยายเส้นเลือดซึ่งเป็นผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และสารนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อคนที่เป็นโรคอ้วนและเบาหวานอีกด้วย 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
WOMAN PLUS

ฝากติดตามให้กำลังใจกันได้ที่ 
Facebook : https://goo.gl/6Tsk9s 
Instagram : kinkumlangdee
Line : @kinkumlangdee (พิมพ์ @ ด้วยนะครับ)


วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

พริกสีสดเพิ่มความสดใส


พริกเม็ดโตสีสันสดใส มีลักษณะกลมยาว หลายครัวเรือนนิยมนำมาผัดเพราะไม่มีรสเผ็ด เนื่องจากมีสารแคปไซซินในปริมาณที่ตํ่ามากจนถูกเรียกว่าพริกหวาน (Bell Pepper) นั่นเอง

          ในพริกหวาน 100 กรัม สามารถให้คุณค่าแก่ร่างกายได้มาก โดยให้พลังงาน 22 กิโลแคลอรี ซึ่งประกอบด้วย โปรตีน 0.8 กรัม ไขมัน 0.3 กรัม คาร์โบไฮเดรต 4.0 กรัม แคลเซียม 9 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 2.5 มิลลิกรัม ไทอะมิน 0.10 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.05 มิลลิกรัม วิตามินซี 65 มิลลิกรัม

ประโยชน์ของพริกหวาน

          พริกหวานมีเบตาแคโรทีนสูง มีวิตามินซี เหล็ก และโพแทสเซียม ซึ่งพริกหวานสีเหลืองจะมีไวตามินมากกว่าพริกหวานสีส้มถึง 4 เท่า ในพริกสีเขียว 100 กรัมก็จะมีไวตามินซี 100 กรัมเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีสารแคบไซซิน ช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือด โรคต้อกระจก และโรคมะเร็ง

          ในหนึ่งเมนูของวัน ถ้ามีพริกหวานเป็นส่วนประกอบก็จะช่วยกระตุ้นทางการทำงานของกระเพาะอาหาร ทำให้ระบบการย่อยอาหารดีขั้น ช่วยเจริญอาหารบำรุงธาตุ ขับเหงื่อ ขับลม ขับเสมหะ แก้อาเจียน แก้หิด กลากเกลื้อน และสามารถลดความด้นโลหิตได้ เพราะทำให้หลอดเลือดอ่อนตัว และช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดเป็นไปได้ดีอีกด้วย...


ฝากติดตามให้กำลังใจกันได้ที่ 
Facebook : https://goo.gl/6Tsk9s 
Instagram : kinkumlangdee
Line : @kinkumlangdee (พิมพ์ @ ด้วยนะครับ)